วิธีใช้ Lightroom4 พื้นฐาน
ในที่นี่ก็ขออธิบายแค่วิธีใช้พื้นฐานนะครับ
เอาแค่ให้คนใช้ไม่เป็นสามารถนำไปเรียนรู้และแต่งรูปเองได้ก็พอ
ส่วนวิธีใช้นอกเหนือจากนี้ ถ้าอยากรู้ก็ถามมาล่ะกันครับ
เอาล่ะ มาเริ่มกันเลย
เริ่มจากเปิดโปรแกรมขึ้นมาก่อน จะได้หน้าจอตามนี้
หลังจากนั้นให้ทำการ Import รูปที่เราจะปรับแต่งโดยเลือกเมนู
"Import photos from disk..."
หลังจากนั้นก็เลือกไฟล์รูปที่เราต้องการปรับแต่ง
เมื่อเลือกเสร็จก็จะได้หน้าจอตามรูปข้างล่างนี้
จากนั้นให้นำเม้าส์ไปกดที่คำว่า Develop ตามลูกศร
เมื่อกดเมนู develop แล้ว จะได้หน้าจอดังนี้
ต่อมาให้ไปคลิ๊กที่รูปที่อยู่แถบด้านล่างสุด เพื่อเลือกรูปที่จะทำการปรับแต่ง
ในการปรับแต่งรูปด้วยโปรแกรม Lightroom อาศัยการดู Histogram เป็นหลัก
ดังนั้นเราจึงควรมาทำความเข้าใจกับ Histogram กันก่อน
ขออธิบายแบบง่ายๆล่ะกัน
ด้านซ้ายของ Histogram คือสีโทนมืด ส่วนด้านขวาคือโทนสว่าง
เราจึงสามารถอาศัย Histogram ในการดูว่ารูปของเรามืดไปหรือสว่างไปได้นั่นเอง
ตัวอย่างในรูปจะเห็นว่ากราฟ Histogram นั้นเบ้มาทางด้านโทนมืด
แต่ก็ถูกแล้ว เพราะในรูปตัวอย่างนั้น แบ็คกราวน์ กับเสื้อผ้าของแบบ เป็นสีดำ
ดังนั้นการที่ Histogram เบ้มาทางด้านซ้ายจึงไม่ได้แปลว่ารูปมืดไปเสมอไป
ทีนี้ลองไปกดเครื่องหมายสามเหลี่ยมด้านซ้ายบน และด้านขวาบนของ Histogram ดู
เมื่อกดเครื่องหมายสามเหลี่ยมด้านขวาตามลูกศรสีแดง
จะเห็นว่ามีพื้นที่สีแดงโผล่ขึ้นมาในรูป พื้นที่นั้นคือพื้นที่ในส่วนของกราฟ
ที่ล้นด้านขวาสุดของ Histogram ไป หรือก็คือส่วนที่กลายเป็นสีขาว
จนเรามองไม่เห็นรายละเอียดใดๆในพื้นที่นั้นเลย
ตรงข้าม เมื่อกดเครื่องหมายสามเหลี่ยมด้านซ้ายตามลูกศรสีน้ำเงิน
จะเห็นว่ามีพื้นที่สีน้ำเงินโผล่ขึ้นมาในรูป พื้นที่นั้นคือพื้นที่ในส่วนของกราฟ
ที่ล้นด้านซ้ายสุดของ Histogram ไป หรือก็คือส่วนที่กลายเป็นสีดำ
จนเรามองไม่เห็นรายละเอียดใดๆในพื้นที่นั้นเลยเช่นกัน
ดังนั้นรูปถ่ายที่ดีคือรูปที่กราฟ ไม่ตกล้นไปทางด้านขวา
และด้านซ้ายของ Histogram มากจนเกินไปนั่นเอง
จากรูปตัวอย่าง Histogram ล้นไปทางด้านขวาเล็กน้อย
แต่ไม่ล้นไปทางด้านซ้ายเลย จึงเรียกได้ว่าเป็นรูปที่ความสว่างกำลังพอเหมาะ
ทีนี้มาดูที่แถบเครื่องมือด้านขวามือของรูป
ซึ่งจะขออธิบายแค่ Basic Tools ก็พอ โดยเครื่องมือต่างๆจะแบ่งออกเป็น
- การปรับ White Balance สามารถปรับได้โดยใช้แถบเมนู Temp และ Tintโดยที่ Temp เป็นแถบที่ใช้ปรับเมื่อรูปมีโทนน้ำเงินหรือเหลืองผิดปกติส่วน Tint เป็นแถบที่ใช้ปรับเมื่อรูปมีโทนเขียวหรือแดงผิดปกติ
- Exposure ใช้สำหรับเพิ่ม-ลด ความสว่างโดยรวมของภาพเหมือนการปรับรูรับแสงในกล้องถ่ายรูป
- Recovery ใช้สำหรับกู้รายละเอียดของพื้นที่ที่ล้นด้านขวามือของ Histogram ให้กลับคืนมา
- Fill Light เป็นการเพิ่มความสว่างในส่วนของเงามืดในภาพเทียบแล้วก็เหมือนกับการใช้รีเฟลกซ์เปิดเงาให้กับภาพ
- Black เป็นการเพิ่ม-ลดความเข้มในส่วนของเงามืดของภาพ
- Brightness เป็นการเพิ่มความสว่างให้กับภาพซึ่งจะแตกต่างกับการใช้Exposure คือ Brightness จะมีผลกับบริเวณตรงกลางของ Histogram เท่านั้นแต่ Exposure มีผลกับ Histogram ทุกส่วน
- Contrast ใช้ปรับเพิ่ม-ลด Contrast ของภาพเมื่อเข้าใจเครื่องมือต่างๆแล้ว ก็มาลองแต่งรูปดูกันเลยจากรูปตัวอย่าง ผมคิดว่าส่วนที่เป็นเงาของใบหน้ามันมืดไปผมเลยปรับ Fill Light เป็น 15ต่อมาผมมองว่าส่วนที่เป็นเงามืดของเสื้อผ้าน่าจะเข้มกว่านี้ผมเลยปรับ Blacks เป็น 4(จะเห็นว่าส่วนที่เป็นพื้นที่สีน้ำเงินในรูปเพิ่มขึ้น)ทีนี้ดูที่เสื้อ ผมมองว่ามันติดน้ำเงินนิดๆ ผมจึงปรับ white balance ตามค่าในรูปคือ Temp +25 เพื่อแก้รูปติดโทนน้ำเงินและปรับ Tint -15 เพื่อไม่ให้รูปติดโทนเหลืองจนผิดธรรมชาติก็จะได้สีผิวที่เข้มขึ้น และดูดีกว่าก่อนทำการปรับแต่งหลังจากนั้น เลื่อนแถบเครื่องมือลงมาจนถึงเครื่องมือ Tone Curveทำการปรับ contrast ของรูปโดยคลิ๊กที่คำว่า linear แล้วเปลี่ยนเป็น medium contrastก็จะได้รูปที่ดูสวยขึ้นดังนี้ลากแถบเมนูกลับขึ้นไป เพื่อให้ภาพดู soft ขึ้นให้ปรับ Clarity เป็น -25 ถึง -40 แล้วแต่ความชอบจากนั้นก็มาถึงขั้นตอนการทำรีทัชแบบง่ายๆเมื่อกดซูมรูปเข้าไปดู ก็จะเห็นร่องรอยไม่พึงประสงค์อยู่ให้มากดเลือกเครื่องมือรูปวงกลม ตามลูกศรและจะเห็นว่ามีวงกลมสีเทาโผล่ขึ้นมาในรูปปรับขนาดของวงกลมสีเทา ให้ใหญ่กว่าร่องรอยที่ต้องการลบเล็กน้อยเสร็จแล้วก็จะมีวงกลมสีขาวอีกวงโผลขึ้นมาให้ลากวงกลมนี้ไปรอบๆ สังเกตุจนกว่าผิวในวงกลมสีเทาวงเดิมเรียบเนียนเมื่อรีทัชเสร็จแล้ว ให้กดที่คำว่า closeเป็นอันว่าเสร็จไป 1รูปจากนั้นก็ไปปรับแต่งรูปอื่นต่อไปตามวิธีการข้างต้นเมื่อปรับแต่งครบทุกรูปแล้ว ก็ไปแถบด้านลางสุด กด Ctrl+A เพื่อเลือกทุกรูปแล้วทำการเซฟรูปด้วยคำสั่ง exportจะมีหน้าจอขึ้นมาตามนี้
- ส่วนแรกคือ Folder ที่คุณจะเลือกเพื่อทำการเซฟรูป
- ส่วนที่สองคือ format ของรูปที่ต้องการจะเซฟซึ่งปกติให้เลือกเป็น JPG และ color space เป็น sRGB
- ส่วนที่3 เฉพาะกรณีที่คุณต้องการย่อรูปด้วยโปรแกรมนี้แต่โดยส่วนตัวแล้ว แนะนำให้ย่อด้วย photoshop ดีกว่าเมื่อเลือกทุกอย่างแล้วกด export ก็เป็นอันเสร็จเมื่อคราวก่อนได้เสนอวิธีใช้เครื่องมือพื้นฐานของโปรแกรมไปแล้วคราวนี้ก็จะขอเสนอเทคนิคเล็กๆน้อยๆ เพื่อให้ช่วยแต่งรูปได้เร็วขึ้นขั้นตอนแรกก็ Import รูปเข้ามาก่อนเนื่องจากผมถนัดแต่งรูปในโหมด develop ก็ขอใช้โหมดนี้ในการอธิบายนะครับคลิ๊กที่โหมด develop ตามลูกศรก่อนเลย จะได้หน้าจอดังรูปจะเห็นได้ว่ารูปนี้ติดโทนสีส้มมากเกินไป เราก็จะทำการแก้โดยการปรับ White Balance ของรูปซึ่งบางคนอาจจะไม่ชอบในการเสียเวลาปรับค่า temp และ tint ด้วยตนเองดังนั้นในคราวนี้เราจะใช้เครื่องมือ White Balance Selector ที่รูปตัวดูดสีแทนโดยวิธีการใช้เครื่องมือนี้ ให้กดที่ไอค่อนตัวดูดสีตามรูปตัวอย่างและนำไปคลิ๊กในรูปที่เราต้องการแต่งตรงบริเวณที่เป็นสีเทากลางปัญหาก็คือ ไหนล่ะ สีเทากลางที่ว่าเทคนิคในการหาสีเทากลาง (ตามแบบของผมเอง) คือดูที่สีดำหรือสีขาวในรูปแทนจากตัวอย่าง จะเห็นว่าเสื้อสูทของแบบมีสีดำ ผมก็เอาตรงเสื้อสูทนี่แหละขั้นแรกปรับรูปให้เป็นสี ขาว-ดำ โดยกดที่คำว่า Grayscaleจากนั้นปรับ exposure ขึ้นเยอะๆเลย ซึ่งสีดำเมื่อปรับให้สว่าง มันก็กลายเป็นสีเทาจากนั้นนำเม้าส์ไปกดที่ไอค่อนตัวดูดสี แล้วนำไปคลิ๊กในรูปตรงจุดที่เป็นสีเทากลางซึ่งก็คือจุดที่มีค่า R G B เท่ากัน อยู่ที่ประมาณ 50%แต่ไม่ต้องถึงขนาด 50% เป๊ะๆ แค่มีค่าระหว่าง 45-60 ก็คือว่าใช้ได้แล้วเมื่อกดที่รูปแล้วก็จะเห็นว่า ค่า white balance เปลี่ยนไปทีนี้ก็ปรับค่า exposure ให้กลับลงมาที่ 0 เท่าเดิมแล้วกดคำว่า color เพื่อให้รูปกลับมาเป็นรูปสีจะเห็นได้ว่ารูปหลังจากทำการปรับมีสีที่ถูกต้อง ไม่ติดโทนส้มอีกต่อไปจากนั้นก็ปรับแสง-เงาของรูปให้สว่างขึ้นตามความชอบจากรูปตัวอย่างข้างบน จะเห็นได้ว่าสีของรูปยังดูอ่อนไปอยู่เราจึงจะปรับความเข้มของสีโดยใช้แถบเครื่องมือ Vibrance และ Saturation
- Vibrance เป็นการปรับเพิ่ม-ลดความเข้มของสีให้กับสีที่ซีดในภาพเป็นหลักและจะไม่ค่อยมีผลกับสีที่สดอยู่แล้ว
- Saturation เป็นการปรับเพิ่ม-ลดความเข้มของสีให้กับสีทุกสีในรูปดังนั้นแนะนำให้ปรับสีโดยใช้ Vibrance จะดีกว่าเพราะจะได้สีที่เข้มขึ้นเป็นธรรมชาติมากกว่าโดยในรูป ผมปรับ Vibrance เป็น +25 และ Saturation เป็น +5แต่ก็แล้วแต่ความชอบของแต่ละท่านนะครับ ว่าจะปรับค่าเป็นเท่าไหร่ก็เป็นอันว่าแต่งเสร็จไปได้ 1รูป ที่นี้ดูในแถบล่างสุดจะเห็นว่ารูปอีก 3รูปถัดมา ถ่ายตรงที่เดียวกับรูปแรกและตอนถ่ายมามีความสว่างเท่าๆกับรูปแรกดังนั้นเราก็จะต้องแต่งรูปอีก3รูปซ้ำใหม่ เหมือนกับตอนแต่งรูปแรกกรณีนี้ ข้อดีของโปรแกรม lightroom ก็คือ สามารถแต่งรูปหลายรูปโดยยึดค่าที่ทำการปรับแต่งตามรูปใดรูปหนึ่งได้นั่นเองทำให้เราสามารถแต่งรูปได้เร็วขึ้นเพราะไม่ต้องทำการปรับทีละรูปเหมือนใน photoshopวิธีการก็แสนง่าย หลังจากแต่งรูปแรกเสร็จแล้วให้กด Ctrl ค้างไว้ แล้วเลือกรูปในแถบด้านล่างสุดที่เหลือ อีก3รูปจากนั้นก็มากดตรงคำว่า Syncจะได้หน้าจอนี้ขึ้นมา ให้ทำเครื่องหมายถูกตรงค่าที่เราต้องการจะใช้ในการปรับแต่งกับรูปอื่นๆที่เหลือจากนั้นก็กด Synchronizeเพียงเท่านี้ รูปอีก3รูปที่เราเลือกไว้ก็จะถูกปรับแต่งตามค่าเหมือนกับรูปแรกทันทีเช่นกัน 3รูปต่อมาก็จะเห็นว่า ถ่ายมาสว่างเท่าๆกัน สีก็เพี้ยนเหมือนๆกันดังนั้นเราก็สามารถปรับแต่งรูปที่เหลือ 3รูปนี้ได้โดยแต่งแค่รูปเดียวตามตัวอย่างจากนั้นก็ทำการปรับรูปที่เหลืออีก2รูป โดยกด sync ทีเดียว ก็เป็นอันเสร็จสุดท้ายก็เซฟรูปทั้งหมดด้วยคำสั่ง export เป็นอันจบการที่โปรแกรม lightroom สามารถใช้คำสั่งแต่งรุปได้ทีละหลายรูปนี้เองก็เป็นข้อดีที่ถือว่าสะดวกกว่า photoshopแต่ผมก็ไม่ได้บอกว่าโปรแกรมนี้ดีกว่า photoshop นะยังไงผมก็เห็นว่าถ้าทำการรีทัชรูป และย่อรูปphotoshop ก็ทำได้ดีกว่า lightroom อยู่ดีดังนั้น ถ้าคุณขยันหน่อย อยากได้รูปออกมาสวยจริงๆแนะว่าให้ใช้ให้เป็นทั้ง 2โปรแกรมครับแหล่งอ้างอิงhttp://sudpoth.multiply.com/journal/item/4http://www.fotobug.net/forum/viewthread.php?tid=1619
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น